วันนี้ 23 พฤษภาคม 2568 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชดใช้ค่าเสียหายคดีรับจำนำข้าวจำนวน 1 หมื่นล้านบาทว่า
คำวินิจฉัยนี้จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้การบริหารราชการแผ่นดินไทยเหมือนกัน ความผิดที่ศาลใช้คำว่าประมาทเลินเล่อโดยร้ายแรง ตกลงแล้วเราต้องทำแค่ไหนจึงถือว่าไม่ประมาทเลินเล่อ ซึ่งศาลตัดสินให้ว่ามีความผิด
โดยที่ระบุว่ามีการตักเตือนหลายรอบแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน ฝั่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ได้อยู่เฉย มีการตั้งกรรมการหรืออนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมา แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องไปติดตามอีก แล้วจะไปติดตามอะไร อย่างไร จึงเกิดข้อสงสัยว่าเส้นแบ่งอยู่ตรงไหน
“ถ้าคุณยิ่งลักษณ์มีเจตนาจริงๆ ที่จะปล่อยปละละเลย ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ มันก็ค่อนข้างชัดเจน แต่พอบอกว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง สำหรับคนที่ต้องดำเนินนโยบายต่อไปในอนาคต มันก็เริ่มทำให้น่าจะเกิดความกังวลใจ และอาจจะทำให้ไม่กล้าทำโครงการอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาในอนาคตก็ได้ เพราะมีบรรทัดฐานแบบนี้เกิดขึ้น”
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า ถึงแม้จะประมาทเลินเล่อร้ายแรงจริง แต่รูปแบบของการดำเนินนโยบาย จะเป็นในรูปแบบของคณะรัฐมนตรีก็ดีหรือหรือคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) ก็ดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นแค่ประธาน ทำไมประธานถึงได้มีความผิดแค่คนเดียว
แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการนั้นถึงไม่ได้มีความผิดด้วย และถึงแม้เอาความผิดมารวมกันแล้วหารด้วยคณะกรรมการนี้ก็จริง แต่โทษที่จะต้องชดเชยเป็นหมื่นล้าน ได้สัดส่วนแล้วหรือยัง จึงเป็นคำถามอยู่ว่าเฉพาะส่วนที่ประมาทเลินเล่อร้ายแรง
มันถึงขั้นเลวร้ายหรือไม่ และต้องได้รับผิดกันกี่คนแน่ เมื่อถามว่าในฐานะคนคิดนโยบายพรรคการเมือง พอเจอบรรทัดฐานแบบนี้ กลัวมากขึ้นหรือไม่ หรือต้องชั่งน้ำหนักตอนพูดหาเสียงหรือไม่
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า อาจจะไม่ใช่เรื่องตอนหาเสียง แต่เป็นเรื่องของตอนที่มีการดำเนินนโยบายหลัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจริงๆ “โอเค แน่นอนว่าการดำเนินโยบายต่างๆของรัฐบาลต้องมีฝั่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว
การตักเตือน การส่งคำเตือนอะไรต่างๆ ก็มีได้ทั้งฝ่ายค้านและข้าราชการประจำอยู่แล้ว ซึ่งถ้ารัฐบาลมีเหตุผลมากเพียงพอที่จะเดินหน้าต่อก็เดินหน้าต่อ แต่พอมาถึงกรณีที่คอร์รัปชันเกิดขึ้น แล้วต้องทำแค่ไหนถึงจะเพียงพอ
ตั้งคณะกรรมการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเฉยๆ ในอำนาจหน้าที่แล้ว ก็ยังไม่เพียงพอด้วยหรือไม่ ต้องมาแชร์ความผิดนี้ด้วย ทำให้ทั้งคณะรัฐมนตรีแล้วหรือไม่ ที่จะต้องเป็นคนคอยดึงขากางเกงกันเองให้ สุดท้ายแล้วไม่สามารถทำนโยบายอะไรได้เลยในอนาคต”